เจ้าของร้าน งง  ออร์เดอร์ ของลูกค้าหายปริศนา 

เมื่อวันที่ 14 เดือนธันวาคม  ปี พ.ศ 2566  มีผู้ใช้ Application x  รายนึง ได้ออกมาโพสต์เตือนภัยร้านค้า  ให้ระมัดระวังสินค้าจะหายหากมีการวางไว้หน้าร้าน 

โดยเจ้าของโพสต์ได้เล่าประสบการณ์ของตนเองว่าทางร้านได้มีการเปิด ขายอาหารแบบเดลิเวอรี่ซึ่งทางร้านเปิดขายส้มตำ  ชื่อว่าร้านแซ่บตำยำยั่ว  ซึ่งทางร้านได้รับออเดอร์จากลูกค้ารายหนึ่งได้มีการสั่งส้มตำเอาไว้ 

เมื่อแม่ค้าได้ทำส้มตำเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ได้นำส้มตำใส่ถุงแล้วนำไปวางไว้ที่บริเวณด้านหน้าร้านเพื่อที่จะรอไรเดอร์มารับออเดอร์ที่สั่งเอาไว้

อย่างไรก็ตามยังไม่ทันที่ไรเดอร์จะมารับอาหารปรากฏว่าถุงส้มตำที่วางเอาไว้หน้าร้านนั้นหายไป  ทำให้เจ้าของร้านรู้สึกงงเป็นอย่างมากว่าอาหารหายไปไหนจนสุดท้ายก็ไปตรวจสอบกล้องวงจรปิดของทางร้านทำให้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด

ว่าหลังจากที่เจ้าของร้านได้นำถุงส้มตำมาวางเอาไว้ก็มี ผู้หญิงคนนึงเดินผ่านมาที่ร้านหลังจากนั้นก็เดินเข้ามาหยิบถุงส้มตำแล้วก็เดินออกจากร้านไปโดยไม่มีท่าทีที่ผิดปกติหรือมีพิรุธแต่อย่างใด 

นอกจากเจ้าของร้านต้องการที่จะโพสต์เตือนภัยบรรดาพ่อค้าแม่ค้าทั้งหลายที่มีการนำอาหารมาวางไว้รอไรเดอร์ที่หน้าร้านให้ระมัดระวังของหายแล้ว

ทางด้านเจ้าของโพสต์ยังได้มีการนำคลิปมาเผยแพร่ในโลกออนไลน์เผื่อว่าใครจะเคยเห็นหน้าผู้หญิงที่อยู่ในคลิปที่มาขโมยถุงส้มตำไปเนื่องจากเจ้าของร้านรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก 

อย่างไรก็ตามเจ้าของร้านได้มีการแก้ไขปัญหาหลังจากที่มีคนขโมยสินค้าไปด้วยการติดป้ายไว้ที่หน้าร้านตรงบริเวณโต๊ะที่วางอาหารสำหรับรอ Rider โดยมีการเขียนป้ายว่าห้ามขโมยสินค้าเนื่องจากว่าทางร้านนั้นได้มีการติดตั้งกล้องวงจรปิดเอาไว้และถ้าหากทางร้านตรวจสอบพบก็จะมีการดำเนินคดีตามกฎหมายทันที

และจะมีการนำคลิปไปประจานผ่านโลกออนไลน์อีกด้วยซึ่งถ้าหากใครมีปัญหาด้านการเงินแต่ต้องการทานส้มตำของทางร้านก็สามารถเข้ามาแจ้งปัญหากับทางร้านได้ทางร้านยินดีที่จะทำให้กิน

สำหรับเหตุการณ์ในครั้งนี้เจ้าของร้านได้นำคลิปไปโพสต์ลงในโลกออนไลน์ซึ่งได้เห็นหน้าคนร้ายที่ขโมยส้มตำอย่างชัดเจนเชื่อว่าถ้าหากคนร้ายได้เห็นตนเองผ่านทางสื่อต่างๆและผ่านทางโลกออนไลน์ก็คงจะเกิดความรู้สึกละอาย  นอกจากนี้หากญาติพี่น้องขนคนร้ายได้เห็นว่าลูกหลานของตนเองเป็นคนขโมยอาหารเพียงแค่ลดน้อยไปเท่านั้น

ก็จะสร้างความอับอายให้กับญาติพี่น้องและคนในครอบครัวอีกด้วย  ดังนั้นการกระทำในครั้งนี้จึงไม่ควรลอกเลียนแบบ เพราะการลักทรัพย์นั้นเป็นการกระทำที่ผิดศีลธรรมและผิดกฎหมาย 

 

ได้รับการสนับสนุนโดย    หวยดี

คู่รักจัดวิวาห์กลางคาเฟ่ แต่เจ้าของร้านไม่รู้เรื่อง 

ในโลกออนไลน์ของประเทศสหรัฐอเมริกาได้มีการเปิดเผยเรื่องราวของการกระทำของคู่รักคู่หนึ่งซึ่งกลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์บนโลกออนไลน์เป็นอย่างมากโดยเรื่องราวนี้ถูกเปิดเผยเมื่อวันที่ 9 เดือนมกราคม ปี พ.ศ 2567  

สำหรับเรื่องราวที่ถูกเปิดเผยในโลกออนไลน์นั้นเป็นเรื่องราวที่ร้านคาเฟ่ร้านหนึ่งที่ชื่อว่า   Mansion Society ได้เปิดเผยพฤติกรรมที่ไม่น่ารักของลูกค้าที่เข้าไปใช้บริการ

โดยลูกค้าที่มีการกล่าวถึงนี้เป็นคู่รักคู่หนึ่งที่คิดจะจัดงานแต่งงานแต่ไม่หาสถานที่จัดงานแต่งงานแต่เรื่องที่จะมาจัดงานแต่งงานที่แมนชั่นโซไซตี้และได้มีการเชิญเพื่อนฝูงญาติพี่น้องจำนวนประมาณเกือบ 30 คนให้มาร่วมงานด้วยการจัดงานในครั้งนี้ทั้งคู่บ่าวสาวไม่ได้มีการแจ้งกับเจ้าของร้าน Mansion Society ล่วงหน้าเป็นการแต่งงานโดยที่ไม่ได้รับอนุญาต 

เจ้าของ Mansion Society ระบุว่าร้านของเขานั้นเป็นคาเฟ่ไม่ใหญ่นักซึ่งเปิดอยู่ในเมืองอินเดียใน Police ของรัฐ indianna  

โดยเหตุการณ์ที่เจ้าของโพสต์ได้นำมาเล่าผ่านทางโลกออนไลน์นั้นเกิดขึ้นในวันสิ้นปีซึ่งก็คือวันที่ 31 เดือนธันวาคม ปี พ.ศ 2566  ซึ่งในวันดังกล่าวนั้นทางร้านMansion Society ได้มีการให้บริการลูกค้าตามปกติและมีลูกค้ามาใช้บริการเป็นจำนวนมากมาย

อย่างไรก็ตามได้มีลูกค้ากลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาภายในร้านโดยมีหญิงสาวคนหนึ่งแต่งกายด้วยชุดแต่งงานคล้ายกับเจ้าสาว  ซึ่งคนที่เดินมาพร้อมกับเจ้าสาวก็พากันเดินเข้ามาภายในร้านMansion Society  กันเป็นจำนวนมาก

ทำให้ลูกค้าที่ใช้บริการอยู่ภายในร้านในขณะนั้นรวมถึงแม้แต่พนักงานร้านเองต่างก็พากันรู้สึกตกใจ 

สิ่งที่ทำให้เจ้าของร้านไม่พอใจกับพฤติกรรมของคู่บ่าวสาว เนื่องจากว่าไม่ได้มีการขออนุญาตทางร้านและไม่ได้มีการจองสถานที่เพื่อใช้จะสมัครการจัดงานเลี้ยงและยังมีการเชิญคนมาร่วมงานอีกเป็นจำนวนมากทำให้ลานจอดรถของทางร้านเต็มไปด้วยรถยนต์ของคนที่มาร่วมงานแต่งของคู่บ่าวสาว 

นอกจากนี้ภายในร้านยังเกิดความกลัวของวุ่นวายเป็นอย่างมากเพราะร้านเป็นเพียงแค่ล้านขนาดเล็กแต่มีผู้คนมากมายทั้งลูกค้าของทางร้านและแขกที่มาร่วมงานแต่งงานรวมถึงเจ้าภาพ ส่งผลทำให้บรรยากาศภายในร้านรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก

และพนักงานก็ไม่สามารถให้บริการลูกค้ารายอื่นได้สร้างความเสียหายให้กับร้านคาเฟ่เป็นอย่างมาก 

เจ้าของร้าน Mansion Society ระบุว่าโดยปกติร้านจะเปิดให้เช่าคาเฟ่เพื่อใช้สำหรับจัดงานเลี้ยงและมีการคิดค่าเช่าอยู่ที่ประมาณ 500 ดอลลาร์ซึ่งจะมีการปิดคาเฟ่เพื่อให้จัดงานเลี้ยงแบบเป็นส่วนตัวแต่สำหรับเคสการแต่งงานของคู่บ่าวสาวรายนี้กลับไม่ยอมเสียค่าเช่าสถานที่และจ่ายเงินค่าเสียหายเพียงแค่  200 ดอลลาร์เท่านั้น 

 

สนับสนุนโดย    คาสิโนเวียดนาม

ว่าที่เจ้าสาวขอปรับแขกคนละ 40,000 หลังจากแขกบอกจะมางานแต่งแต่ไม่มา 

เรื่องราวของว่าที่เจ้าสาวชาวออสซี่ถูกเปิดเผยเมื่อวันที่ 12 เดือนธันวาคม  ปีพ.ศ 2566

  ซึ่งเรื่องนี้เป็นประเด็นดราม่าที่มีการพูดถึงเป็นอย่างมากในโลกออนไลน์เนื่องจากว่าวันที่เจ้าสาวรายนี้ออกมาเปิดเผยเกี่ยวกับแผนการของเธอว่าเธอนั้นจะมีการคิดเงินซึ่งเงินดังกล่าวเธอเรียกว่าเป็นเงินค่าธรรมเนียมกับแขกที่รับปากกับเธอว่าจะมาร่วมงานแต่งงานของเธอ

แต่เมื่อถึงวันแต่งงานจริงๆแล้วแขกที่เคยรับปากว่าจะมางานแต่งของเธอนั้นกลับไม่มาทำให้เธอต้องเสียค่าใช้จ่ายในการจองโต๊ะเอาไว้ให้แขกเป็นจำนวนมาก 

       ในโลกออนไลน์ได้มีการแชร์ข้อความสนทนาซึ่งถูกนำมาจาก Application WhatsApp โดยเป็นข้อความของว่าที่เจ้าสาวที่ได้มีการส่งข้อความไปหาเพื่อนสาวเพื่อชักชวนให้มาร่วมงานแต่งงานของเธอที่จะมีการจัดขึ้นโดยว่าที่เจ้าสาวนั้นได้มีการส่งข้อความไปหาเพื่อนตั้งแต่เดือนกรกฎาคมซึ่งเพื่อนของเธอก็รับปากอย่างดีว่าจะมาร่วมงานแต่งงาน

     อย่างไรก็ตามเมื่อถึงใกล้วันจัดงานแต่งงานซึ่งว่าที่เจ้าสาวก็ได้มีการเตรียมวางแผนงานแต่งงานไว้หมดแล้วรวมถึงจำนวนโต๊ะที่จะมีการเชิญแขกว่าจะมีแขกมาร่วมงานกี่คนมีการจองโต๊ะอาหารเป็นที่เรียบร้อยแล้วปรากฏว่าเมื่อถึงช่วงเดือนธันวาคมเพื่อนของเจ้าสาวรายนึงก็ได้ส่งข้อความมาขอยกเลิกที่จะมางานแต่งงานของเธอ

โดยให้เหตุผลว่าไม่สะดวกซึ่งเป็นการแจ้งล่วงหน้าเพียงแค่สัปดาห์เดียวก่อนที่จะมีงานแต่งงานเท่านั้นทำให้ว่าที่เจ้าสาวไม่สามารถที่จะแก้ไขจำนวนโต๊ะของแขกที่จะมาร่วมงานแต่งงานได้ 

   อย่างไรก็ตามว่าที่เจ้าสาวที่โพสต์ลงในโลกออนไลน์เพื่อขอความคิดเห็นจากชาวโซเชียลเกี่ยวกับเรื่องของการคิดเงินแขกที่ปฏิเสธมางานแต่งงานของเธอ

ทั้งที่รับปากแล้วจำนวนเงินคนละ 40,000 บาทโดยเธอให้เหตุผลว่าแขกที่รับปากที่จะร่วมงานแต่งงานของเธอแล้วกับ cancel ในนาทีสุดท้ายนั้นมีจำนวนมากกว่า 10 คนซึ่งถ้าคิดค่าใช้จ่ายในส่วนดังกล่าวแล้วเธอต้องเสียเงินค่าใช้จ่ายไปฟรีๆประมาณสูงถึง 435,000 บาทเลยทีเดียว

     ดังนั้นเธอจึงอยากถามชาวโซเชียลว่าถ้าหากเธอคิดค่าธรรมเนียมสำหรับคนที่ไม่มาร่วมงานแต่งงานของเธอจำนวนคนละ 40,000 บาทนั้นจะสมเหตุสมผลหรือไม่ เนื่องจากเจ้าหน้าที่เจ้าสาวรายนี้มองว่าแขกที่เคยรับปากว่าจะมาร่วมงานแต่งงานของเธอแต่กลับมาปฏิเสธขอยกเลิกการมางานในช่วงเวลาที่เหลือเพียงแค่อาทิตย์เดียว กลุ่มคนเหล่านี้ควรจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเหล่านี้ด้วย 

    ภายหลังจากที่ข้อความของเจ้าสาวรายนี้ถูกแชร์ในโลกออนไลน์ก็มีคนให้ความสนใจเป็นอย่างมากจนเกิดเป็นกระแสดราม่าซึ่งหลายคนก็อยู่ฝั่งทางเจ้าสาวเพราะมองว่าแขกที่รับปากแล้วแต่ปฏิเสธภายหลังก่อนที่งานจะเริ่มเพียงแค่อาทิตย์เดียวนั้น

เป็นการเสียมารยาทมากในขณะเดียวกันก็มีบางกลุ่มที่มองว่าไม่ควรเรียกเก็บหรือร้องเรียนใดๆเพราะหลายคนเชื่อว่าแขกที่ไม่มาร่วมงานแต่งงานนั้นอาจจะมีเหตุฉุกเฉินจริงๆ 

 

สนับสนุนโดย    huaydee

เจ้าสาวถูกเพื่อนแย่งซีน… จัดเต็มความสวย 

      เชื่อว่าหลายคนคงเคยมีโอกาสได้ไปร่วมงานแต่งงานหรือบางคนอาจจะเคยมีโอกาสได้จัดงานแต่งงานเป็นเจ้าสาวหรือเจ้าบ่าวในงานของตนเอง

ซึ่งในงานแต่งงานนั้นเราจะเห็นนอกจากแขกที่มาร่วมงานแล้ว ทั้งเจ้าบ่าวและเจ้าสาวเองก็จะต้องมีเพื่อนสนิทที่มาร่วมงานและยังมีเพื่อนสนิทบางคนที่จะได้รับเกียรติในงานแต่งงานในครั้งนี้ให้มายืนอยู่เคียงข้างเจ้าบ่าวและเจ้าสาวเพื่อเป็นเพื่อนของเจ้าบ่าวและเจ้าสาวอีกด้วย

     สำหรับใครบางคนอาจจะไม่เคยไปร่วมงานแต่งงานแต่ก็เชื่อว่าคงจะทราบประเพณีเกี่ยวกับการแต่งตัวไปร่วมงานแต่งงานกันบ้างแล้วว่าผู้ที่โดดเด่นที่สุดในงานแต่งงานนั้นก็คือเจ้าบ่าวและเจ้าสาวโดยที่เจ้าสาวนั้นจะต้องสวยงามที่สุดมากกว่าคนอื่นเพราะถือว่าเป็นวันสำคัญของเจ้าสาวนั่นเอง 

    อย่างไรก็ตามมีเรื่องถกเถียงกันในโลกออนไลน์ของ Social Media เมื่อวันที่ 18 เดือนพฤศจิกายนปีพ.ศ 2566 โดยมีการเปิดเผยออกมาจากทางเว็บไซต์โซคูลซึ่งเว็บไซต์ดังกล่าวระบุว่าในงานเลี้ยงแต่งงานงานหนึ่งนั้นได้เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้กลายเป็นเรื่องที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างแพร่หลายและได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก

เมื่อเจ้าสาวซึ่งควรจะโดดเด่นที่สุดภายในงานกับต้องยืนหน้าซีดหน้าหมอเนื่องจากว่าเพื่อนสนิทที่เธอเชิญมาเป็นเพื่อนเจ้าสาวถึง 4 คนด้วยกันนั้นแต่งตัวโดดเด่นเป็นที่สนใจมากกว่าตัวเจ้าสาวเองซะอีก 

      จากการเปิดเผยข้อมูลและจากรูปภาพที่ถูกนำไปเปิดเผยในโลกออนไลน์จะเห็นได้ว่าถึงแม้ว่าเจ้าสาวจะมีใบหน้าที่สวยสุดงดงามและมีหุ่นที่เซ็กซี่

และมีการแต่งตัวแต่งผมมาจัดเต็มเต็มที่แต่ก็ยังแพ้ให้กับเพื่อนเจ้าสาวทั้ง 4 คนที่ถูกเชิญมาเนื่องจากเพื่อนทั้งสองทั้ง 4 คนนั้นก็มีการแต่งตัวสวยงามเช่นเดียวกันและที่สำคัญเพื่อนเจ้าสาวทั้ง 4 คนยังเจ็บเต็มทั้งหน้าผมและสไตล์การแต่งตัวที่เน้นแฟชั่นและที่สำคัญชุดที่สวมใส่นั้นยังเป็นชุดเดรสสีขาวเหมือนกับเจ้าสาวอีกด้วย 

     จากภาพที่ถูกนำมาแชร์ในรูปออนไลน์และจากเสียงเล่าลือจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในงานแต่งงานนั้นระบุว่าเพื่อนเจ้าสาวทั้ง 4 คนนั้นโดดเด่นมากกว่าเจ้าสาวซึ่งเจ้าสาวก็ทำได้เพียงแค่ยืนนิ่งด้วยใบหน้าที่เศร้าสร้อยในขณะที่คนที่มาร่วมงานต่างก็ให้ความสนใจ

กับเพื่อนเจ้าสาวรวมถึงแม้แต่ตัวเจ้าบ่าวเองถ้าหากสังเกตให้ดีจะเห็นได้ว่าเจ้าบ่าวเองก็มองไปยังเพื่อนเจ้าสาวด้วยสายตาเป็นมันเลยทีเดียว 

    อย่างไรก็ตามในโลกออนไลน์ก็ได้มีอาการออกมาพูดคุยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยมองว่าเพื่อนเจ้าสาวทั้ง 4 คนนั้นไม่มีมารยาทในการไปร่วมงานแต่งงานและยังไม่เข้าใจธรรมเนียมกันแต่งตัวไปในงานแต่งงานว่าไม่ควรที่จะแต่งตัวโดดเด่นเกินหน้าเกินตาเจ้าสาวซึ่งชาวโซเชียลเองต่างก็รู้สึกเศร้าใจและเห็นใจเจ้าสาวในงานแต่งงานครั้งนี้กันเป็นอย่างมาก 

 

สนับสนุนเนื้อหาโดย    Huaylike

ร้านซักผ้า หยอดตู้ ออกมาเตือนเจ้าของธุรกิจซักผาอัติโนมัติ

ร้านซักผ้า หยอดตู้ ออกมาเตือนเจ้าของธุรกิจซักผาอัติโนมัติ มีลูกค้าแอบมาชาร์จแบตรถยนต์  EV

           เป็นเรื่องน่าอาย สำหรับชาว รักรถ EV ที่เป็นรถระบบชาร์จไฟ ได้มีชายคนหนึ่งโพสต์ Facebook แชร์ประสบการณ์ ว่ามีชายหนุ่มคนหนึ่งแอบมาชาร์จ รถนาน ถึง 7 ชั่วโมง ตั้งแต่เวลา 00.51 น จนถึงเช้าวันรุ่งขึ้น ในเวลา 08.00 น

ชายผู้ดูแลร้านซักผ้าอัตโนมัติคนนี้ ที่ได้แชร์เรื่องราวก็ได้พบเจอกับชายหนุ่มคนที่นำรถEV

มาชาร์จได้พบหน้ากันพอดีแต่ชายหนุ่มคนนี้ก็บอกกับตนว่าชาร์จเต็มพอดีแล้วขับรถออกไปโดยหน้าตาเฉย ที่ร้าน เป็นการบริการซักผ้าอบแห้งอัตโนมัติ และปลั๊กไฟที่ให้ภายในร้านนั้นสำหรับลูกค้าที่มานั่งรอซักผ้าอยู่ให้ชาร์จแบตโทรศัพท์ระหว่างรอไม่ได้มีบริการให้ชาร์จรถแต่อย่างใดจึงได้แชร์เรื่องราวนี้บน Facebook ของตนเองในข้อความว่า ขับรถหรูดูดี , หน้าตาดูดี , แต่งตัวดีไม่ได้การันตีความมี จิตสำนึกที่ดี

เคสนี้ขโมยชาร์จไฟรถยนต์เป็นเวลา 7 ชั่วโมง” เหตุเกิดที่บางแสน หลังจากที่ชายหนุ่มหน้าตาดีคนนี้ได้ขับออกไปจากที่ร้าน เป็นรถยี่ห้อ mg ป้ายแดงแต่ไม่ได้สังเกตว่าป้ายทะเบียนอะไร จึงได้ไปตรวจสอบกล้องวงจรปิด ลักษณะเป็นชายหนุ่มใส่เสื้อสีขาว ยืนชาร์จแบต

อยู่ที่ข้างรถของตนเองเป็นรถยนต์ EV ที่ใช้การชาร์จระบบไฟฟ้าตั้งแต่ช่วงระยะเวลา 00.00น จนถึงช่วงเช้าอีก 1 วันตามเวลากล้องวงจรปิด ชายหนุ่มคนนี้ก็ได้ นอนอยู่ในรถระหว่างรอรถชาร์จแบต คุณมานะ นาสิงคาน อายุ 50 ปี

เจ้าของร้านซักผ้าอัตโนมัติ จึงรีบ นำข้อมูลหลักฐานทั้งหมดไปแจ้งความเพื่อดำเนินคดีกับชายหนุ่มคนนี้ ให้มารับผิดชอบในสิ่งที่ทำลงไป เพราะว่าที่ร้านนั้นก็มีการชำระค่าไฟทุกเดือนและมีค่าใช้จ่ายในการใช้จ่ายในธุรกิจเช่นกัน ไม่ได้มีให้ใครมาใช้บริการชาร์จแบตรถยนต์ระบบไฟฟ้าแบบนี้

เป็นการแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมและไม่ควรปฏิบัติต่อพื้นที่สาธารณะ

หากเจ้าตัวเห็นข่าวนี้แล้วให้รีบติดต่อมายังสถานีตำรวจเพื่อรับผิดชอบกับสิ่งที่ได้ทำลงไป หากไม่มาพบกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจและตกลงเจรจากันก็จะดำเนินตามคดี ปล่อยให้เป็นไปตามกฎหมาย สามารถที่จะตรวจสอบป้ายทะเบียนและตามชื่อที่อยู่ได้

ในข้อมูลของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่สามารถจะหามาได้นั้น ยังให้โอกาสที่จะมาเจรจาและรับผิดชอบในการชัดรถยนต์ EV ไปในครั้งนี้ และก็อยากจะฝากเตือน กับเจ้าของธุรกิจ ซักผ้าอัตโนมัติที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมงและไม่ได้เฝ้าดูตลอดเวลา

ให้มีวิธีการ ในการ ดูแล จุดซักผ้าหรือปลั๊กที่ให้บริการกับลูกค้าหรือมีกฎ ในการใช้ไฟฟ้า ในช่วงเวลาที่นำผ้ามาซัก ไม่เช่นนั้นก็จะโดนเหมือนที่ถูกกระทำจากชายหนุ่มคนนี้ ก็ฝากเตือนไว้ให้เป็นอุทาหรณ์สำหรับผู้ที่ทำธุรกิจ ไม่ว่าจะธุรกิจไหนก็ตาม

ole777  ให้มีเจ้าหน้าที่คอยตรวจสอบดูแล พื้นที่ของตนเองยิ่งเป็นร้านที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมง

ยิ่งต้องควบคุมให้ดีไม่เช่นนั้นจะเกิดความเสียหายเหมือนร้านของตนเองที่มีการแอบลักขโมยการใช้ไฟฟ้าโดยที่ไม่ได้ขออนุญาตและไม่ได้ใช้บริการซักผ้าที่ร้านแต่อย่างใด จากนี้ก็ขอให้เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีหากไม่เข้ามาพบและเจรจาต่อรองกัน

หนุ่มสักรายหึงโหด ระแวงเมียมีชายอื่น สุดท้ายจับได้  ยิงดับต่อหน้าลูก

           เหตุเกิดขึ้นที่พัทยาชลบุรี สถานที่เกิดเหตุนั้นเป็นทาวน์เฮ้าส์บ้าน  2  ชั้นติดกันหลายหลัง  แต่บ้านที่เกิดเหตุนั้นเป็นของนายมานิตผู้ก่อเหตุอายุประมาณ 30 ปี

อาชีพเป็นช่างสัก อยู่กินกับภรรยา และลูกชาย 2 คน แต่เป็นเรื่องน่าเศร้าสำหรับครอบครัวนี้ เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2566 นายมานิตย์ ผู้ก่อเหตุ ได้ใช้ปืน 9  ม.ม ยิงเข้าที่ลำคอของภรรยาของตนเอง เนื่องจากว่า เห็นว่าภรรยาของตนเองนั้นคุยกับชายอื่นในแอป ซึ่งสายตาได้เหลือบไปมองเห็น ว่าภรรยาของตนเองนั้นมีครูชายอื่นจริง

ซึ่งก่อนหน้านี้ก็เกิดการทะเลาะวิวาทกันมาครั้งหนึ่ง กับเรื่องของการ มีชู้หรือคุยกับคนอื่นซึ่งนายมานิตย์ ผู้ก่อเหตุ ก็เล่าว่า อยู่กินกับภรรยามา 10 กว่าปีแล้ว ช่วงหลังมาเกิดการทะเลาะกันบ่อย เพราะว่า เคยจับได้ว่าภรรยานั้นแอบคุยชายอื่น และนัดเจอกัน

จนปรับความเข้าใจกันได้ครั้งหนึ่ง และก็อยู่กินกันมา จนถึงวันที่เกิดเหตุ เกิด การโมโหบันดาลโทสะและด้วยที่ภรรยา เกิดการโวยวายไม่ยอมรับกับเรื่องราวทั้งหมด พยายามหนี ไม่อธิบายกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น ซึ่งก่อนที่จะเกิดเหตุในการยิงกันนั้น ทางคุณเอง อยู่กันภายในครอบครัวและลูกชายคนเล็กขอให้ทางแม่ ผู้เสียชีวิตนั้นปล่อยสัญญาณอินเทอร์เน็ตให้เพื่อจะใช้เล่นโทรศัพท์แต่สายตาของนายมานิดนั้น

เหลือบมองไปเห็นว่าภรรยาของตนเองนั้นได้คุยกับชายอื่นจึงขอดูโทรศัพท์แต่ทางภรรยาไม่ให้ดูและหนีเข้าไปในห้องน้ำ

ก็เรียกให้เปิดประตูเพื่อที่จะมาคุยและเจรจากัน แต่ภรรยานั้น กลับกลายเป็น ว่าหนีขึ้นบนฝ้าห้องน้ำ และตกลงมา จากด้านบน ทางนายมานิดเองนั้นก็เกิดความโมโหจึงคว้าปืน 9 ม.ม ยิงเข้าที่ลำคอทะลุ จนภรรยานั้น เสียชีวิต

นอนหงายจมกองเลือดอยู่ ต่อหน้าลูกชายวัย 7 ขวบ หลังจากเกิดเหตุไม่กี่นาทีลูกชายคนโตก็เข้ามาเห็นเหตุการณ์พอดีและอยู่ในอาการช็อคทั้งคู่ทั้งลูกชายคนโตและลูกชายคนเล็ก ส่วนตัวนายมานิดนั้นก็ไม่ได้หนีไปแต่อย่างใดยังอยู่ในอาการนิ่งเงียบคงจะช็อคกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น รอมอบตัวกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ

เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.พัทยาเดินทางมาถึง ก็พบว่านายมานิตย์นั้นอยู่ในอาการนิ่งไม่พูดไม่จาจึงค่อยๆเข้าไปเจรจาเพื่อไม่ให้เกิดการ ต่อสู้กันอีกครั้งจนนายมานิตย์นั้นยอมที่จะยื่นปืนที่ใช้ก่อเหตุให้กับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ และมอบตัว

ให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวไป สถานีตำรวจ ทางด้านผู้เป็นแม่ ของนายมานิตย์นั้นก็ได้เข้ามาสวมกอดลูกชายก่อนที่จะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ นำตัวส่ง สถานีตำรวจ สภ.พัทยาและพูดกับลูกชายของตนเองว่าทำผิดก็ยอมรับผิดไปตามกฎหมายขอให้สู้ต่อไปและหากได้ออกมาใหม่

ก็ ประพฤติตัวดีอย่าก่อเหตุแบบเดิมให้ใช้ชีวิตใหม่ และต่อจากนี้ก็อยู่ระหว่างเจ้าหน้าที่เก็บข้อมูลหลักฐานและดำเนินคดีตาม ข้อกล่าวหา และ ลงมือทำ

 

สนับสนุนโดย    ทัวร์คาสิโน

วิธีเอาตัวรอดจากการรวมตัวตามเทศกาลในฐานะแขกที่บ้านของใครบางคน

ยินดีต้อนรับเข้าสู่วันหยุดเทศกาล เวลาที่ครอบครัวจะมารวมตัวกัน การไปเยี่ยมครอบครัวของคู่ของคุณและสัมผัสกับความสัมพันธ์และพิธีกรรมใหม่ๆ เป็นเรื่องน่าตื่นเต้น และอาจเป็นเรื่องที่น่าเสียใจเช่นกัน วันหยุดเป็นเบ้าหลอมในการเปิดเผยประวัติศาสตร์เชิงสัมพันธ์

และความขัดแย้ง รวมถึงการเน้นย้ำถึงความแปลกประหลาดของชีวิตส่วนตัวของผู้อื่น อาจเป็นเรื่องที่ท้าทายเพียงพอในครอบครัวของเราเอง แต่มันเป็นความท้าทายชุดใหม่เมื่อเราถูกโยนเข้าไปอยู่ท่ามกลางครอบครัวของคนอื่น

ครอบครัวสามารถถูกมองได้ว่าเป็นเพียงจักรวาลเล็กๆ ของสังคมและวัฒนธรรม โดยมีลำดับปฏิสัมพันธ์ของพวกเขาเอง

นั่นคือ การรวบรวมพฤติกรรม พิธีกรรม และวิธีการกระทำในสถานการณ์เฉพาะต่างๆ ความแตกต่างอาจทำให้เกิดความท้าทาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณถูกบังคับให้อยู่ด้วยกันเป็นเวลาหลายชั่วโมง พูดคุยเรื่องไวน์ผสมเครื่องเทศ โยนเกลือลงไปที่โต๊ะอาหารเย็น

และหาว่าใครจะได้พายเนื้อสับชิ้นสุดท้าย ในฐานะชาวอเมริกันที่ต้องพบกับพิธีกรรมคริสต์มาสใหม่ๆ เมื่อฉันย้ายไปสหราชอาณาจักร จริงๆ แล้วฉันรู้สึกสับสนและสับสน

เหตุใดผู้คนจึงรู้สึกเหงามากขึ้นในวันคริสต์มาส และเราจะต่อสู้กับความรู้สึกนี้ได้อย่างไร

อาหารก็แตกต่างกัน ดนตรีก็แตกต่างออกไป ฉันรู้สึกงุนงงเป็นพิเศษกับการดูสุนทรพจน์ของกษัตริย์ แต่ความแตกต่างบางอย่างอาจทำให้อึดอัดได้ เมื่อคุณเดินเข้าไปในบ้านของใครบางคน เข้าสู่ความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ยาวนานของพวกเขา คุณกำลังเดินเข้าสู่ความคาดหวังมากมายที่คุณไม่จำเป็นต้องเข้าใจ

และคุณจะต้องจัดการกับพวกเขาเป็นครั้งคราว เคล็ดลับบางประการในการเป็นแขกในงานคริสต์มาสหรืองานสิ้นปีของคนอื่นมีดังนี้

การสื่อสาร ไม่ใช่จิตวิทยา เป็นเรื่องปกติที่จะคิดถึงครอบครัวในแง่จิตวิทยา พวกเขามีทัศนคติต่อความขัดแย้ง รูปแบบความผูกพัน และความเชื่อทางการเมืองที่เป็นเอกลักษณ์ ช่องว่างระหว่างรุ่น สะพานที่ไกลเกินไปหรือเรากำลังสร้างมันมากเกินไป แต่เมื่อเราเผชิญหน้ากันในขณะนั้น เราไม่จำเป็นต้องรู้ (หรือไม่มีเวลาไตร่ตรอง)

ประวัติของรูปแบบความคิด แนวโน้มทางอารมณ์ หรือค่านิยม ในปฏิสัมพันธ์ทางสังคมที่วุ่นวาย เราต้องต่อสู้กับทุกสิ่งที่เราจัดการทันที ไม่มีการหยุดชั่วคราว ไม่มีการย้อนกลับ ไม่มีการปรึกษาแชทบอทปัญญาประดิษฐ์เพื่อหาข้อมูลเชิงลึก หากคุณทำได้

ความเข้าใจด้านจิตวิทยาอาจเป็นประโยชน์เป็นข้อมูลพื้นฐาน

แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้คุณตอบสนองได้เสมอไป มันอาจทำให้คุณหลงทาง โดยกระตุ้นให้คุณคิดถึงคนอื่นโดยอิงจากสิ่งที่คุณคิดเกี่ยวกับพวกเขา แทนที่จะลงมือทำอย่างจริงจัง

ดังนั้นคำแนะนำแรกคือการต่อต้านการกระตุ้นทางจิตหรือคิดว่าคุณรู้สิ่งที่คนอื่นคิด คุณอาจต้องการรับคำเตือนจากคู่ของคุณเกี่ยวกับคนบางคนที่มีนิสัยไม่ดี มุ่งเน้นไปที่สิ่งที่คนที่คุณพบทำและสิ่งที่พวกเขาพูดแทนการจัดการกับสมาชิกครอบครัวที่เล็กที่สุด (เด็กและสัตว์เลี้ยง)  เครียดเรื่องการพบปะสังสรรค์ใช่ไหม?

หากคุณกลัวช่วงเทศกาลมาโดยตลอด ต่อไปนี้คือวิธีจัดการกับเทศกาลดังกล่าว ครอบครัวอาจมีบรรทัดฐานที่แตกต่างกันมากสำหรับสัตว์ที่อายุน้อยกว่าและ/หรือสัตว์ ปัญหาคือบรรทัดฐานเป็นเพียงเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องปกติสำหรับผู้ที่ปฏิบัติตามพวกเขา และพวกเขากลายเป็นส่วนหนึ่งของอัตลักษณ์ของครอบครัว

 

สนับสนุนโดย    หวยดี.com

จากรุ่นเบบี้บูมเมอร์ไปจนถึงซูมเมอร์ ช่องว่างระหว่างรุ่นเกินความจริงหรือไม่

สภาเยาวชนแห่งชาติ เข้าร่วมกับเราในการสัมมนาผ่านเว็บ Instagram Live ข ในหัวข้อการเชื่อมโยงความแตกแยกระหว่างรุ่น ในแต่ละสัปดาห์

ซีรีส์ Big Read ที่ดำเนินมายาวนานของ TODAY จะเจาะลึกแนวโน้มและประเด็นสำคัญต่างๆ สัปดาห์นี้ เราจะมาตรวจสอบความแตกแยกระหว่างคนรุ่นต่างๆ และสิ่งที่สามารถทำได้เพื่อลดช่องว่างนี้ นี่เป็นเวอร์ชันย่อของฟีเจอร์ทั้งหม

ซึ่งสามารถพบได้ที่นี่ ป้ายกำกับต่างๆ เช่น “baby boomers”, “millennials” และ “Gen Z” ไม่เพียงแต่กลายเป็นตัวระบุกลุ่มประชากรตามรุ่นต่างๆ เท่านั้น แต่ยังมีความหมายเหมือนกันกับพฤติกรรมหรือกรอบความคิดเชิงลบอีกด้วย

ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าลักษณะทั่วไปและทัศนคติแบบเหมารวมดังกล่าวไม่เพียงแต่แบ่งรุ่นเท่านั้น แต่ยังสร้างความแตกต่างโดยที่มักไม่มีเลย เนื่องจากพวกเขารวมบุคคลที่ไม่ซ้ำกันหลายล้านคนเข้าเป็นกลุ่มที่กำหนดและติดป้ายกำกับไว้ ผลสำรวจล่าสุด

โดยสภาเยาวชนแห่งชาติพบว่าคนรุ่นต่างๆ มีความคิดเห็นที่ไม่ประจบสอพลอต่อกัน แต่ยังพบว่าคนส่วนใหญ่ในรุ่นต่างๆ เห็นคุณค่าในกันและกัน

บทสัมภาษณ์ของ TODAY กับบุคคลจากกลุ่มรุ่นต่างๆ ยังพบว่าถึงแม้จะมีมุมมองที่แตกต่างกันในแต่ละรุ่นอย่างชัดเจน

แต่ในบางกรณีก็มีพื้นฐานร่วมกันและการยอมรับว่ายังมีอะไรอีกมากมายให้เรียนรู้จากมุมมองที่แตกต่างกัน สิงคโปร์ เมื่อไดอาน่า วัย 31 ปี ตั้งครรภ์เมื่อ 6 ปีที่แล้ว พ่อแม่ของเธอยืนกรานให้เธอแต่งงานกับแฟนหนุ่มในตอนนั้นที่ขอแต่งงานและดูแลลูก แต่เธอปฏิเสธข้อเสนอและทำแท้งแทน พูดคุยกับ TODAY นักยุทธศาสตร์ด้านบัญชี

ซึ่งปฏิเสธที่จะให้ชื่อเต็มของเธอกล่าวว่าเธอไม่ต้องการแต่งงานหรือมีลูก และตั้งแต่นั้นมา พ่อแม่ของเธอก็ยังปล่อยให้เรื่องนี้คลี่คลายและเรียกเธอว่า “เห็นแก่ตัว” ตลอดหลายปีที่ผ่านมาที่ทำเช่นนั้น เช่นเดียวกับไดอาน่า ผู้บริหารฝ่ายการตลาด ชอง ซิ่ว ยี่ วัย 26 ปี

ก็ถูกพ่อของเธอตีตราว่าเอาแต่ใจตัวเองเป็นหลัก ซึ่งในวัย 60 ปี และทำงานธนาคาร Ms Chong กล่าวว่าพ่อของเธอซึ่งมาจากชนชั้นแรงงาน เชื่อว่ารุ่นของเธอได้รับสิทธิพิเศษมากมายเนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจของสิงคโปร์และมาตรฐานการศึกษาที่สูงขึ้น

ดังนั้นจึงไม่เข้าใจถึงคุณค่าของการทำงานหนัก Boomers กับ Millennials ปลดปล่อยตัวเองจากสงครามรุ่นลวง ความขัดแย้งเหล่านี้

เกิดจากสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นความแตกต่างระหว่างรุ่น รู้สึกผ่านไม่ได้สำหรับคู่ที่ TODAY พูดคุยด้วยและส่งผลให้เกิดความแตกแยกภายในครอบครัวของพวกเขา และพวกเขาไม่ได้อยู่คนเดียวเมื่อเผชิญกับสิ่งที่ดูเหมือนเป็นความแตกแยกตามรุ่นนั่นเอง

 

สนับสนุนโดย    หวยดี

น้ำท่วมเกาหลีใต้: ปธน.เรียกร้องให้ดำเนินการวิกฤตสภาพอากาศ ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตพุ่ง 40 ราย

             ประธานาธิบดี ยุน ซุก ยอล เรียกร้องให้ยกเครื่องการเตรียมพร้อมของประเทศ เนื่องจากสภาพอากาศที่รุนแรงกลายเป็น ‘เรื่องธรรมดา’   หน่วยกู้ภัยในเกาหลีใต้กู้ร่างผู้เสียชีวิตทั้งหมด 13 ศพจากอุโมงค์ถนนที่ถูกน้ำท่วมในใจกลางเมือง

ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตจากน้ำท่วมฉับพลันและดินถล่มที่เกิดจากฝนตกหนักหลายวันเพิ่มขึ้นเป็นอย่างน้อย 40 ศพในวันจันทร์ 

การทำลายล้างทำให้ประธานาธิบดี ยุน ซอก ยอล   ของประเทศเตือนว่าวิกฤตสภาพอากาศทำให้สภาพอากาศเลวร้ายกลายเป็นความจริงของชีวิต  “เหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วแบบนี้จะกลายเป็นเรื่องธรรมดา  

เราต้องยอมรับว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกำลังเกิดขึ้น และจัดการกับมัน” ยุนกล่าวขณะเตรียมเดินทางเยือนจังหวัดคยองซังเหนือที่ประสบอุทกภัย     แนวคิดที่ว่าสภาพอากาศสุดขั้วที่เชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นความผิดปกติ

และไม่สามารถช่วยได้ “จำเป็นต้องยกเครื่องใหม่ทั้งหมด” ในขณะที่เรียกร้องให้มี “ความมุ่งมั่นพิเศษ” เพื่อปรับปรุงการเตรียมพร้อมและมาตรการรับมือของประเทศ     

ทางการในใจกลางเมืองชองจู ระบุว่า มีผู้เสียชีวิตแล้ว 13 ราย หลังจากที่รถของพวกเขาติดอยู่ในอุโมงค์ใต้ดิน โอซง   ยาว 685 เมตร   รถยนต์มากถึง 15 คัน รวมทั้งรถบัส ถูกน้ำท่วมฉับพลันเมื่อตลิ่งพังในเย็นวันเสาร์ เจ้าหน้าที่กู้ภัยประมาณ 900 คน รวมทั้งนักประดาน้ำ ยังคงค้นหาในอุโมงค์ ซึ่งเจ้าหน้าที่ดับเพลิงคาดว่าน้ำจะเต็มภายในเวลาเพียง 2-3 นาที  

ยุนสั่งให้ทางการใช้ “ความพยายามอย่างเต็มที่” เพื่อจัดการกับน้ำท่วมและสัญญาว่าจะสนับสนุนงานฟื้นฟู รวมทั้งกำหนดเขตภัยพิบัติพิเศษในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด

  ชาวบ้านและครอบครัวของเหยื่อวิพากษ์วิจารณ์เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นอย่างหนัก โดยกล่าวหาว่าพวกเขาเป็นผู้ควบคุม “ภัยพิบัติที่มนุษย์สร้างขึ้น” ที่ไม่ปิดอุโมงค์ชั่วคราวท่ามกลางฝนตกหนักและระดับน้ำในแม่น้ำใกล้เคียงที่เพิ่มสูงขึ้น  ตำรวจกล่าวว่าพวกเขาจะเริ่มการสอบสวนน้ำท่วมร้ายแรง สำนักข่าวยอนฮัป ระบุ    พวกเขาถามว่าทำไมรัฐบาลจังหวัด ชุงชอง  

เหนือจึงไม่ปิดอุโมงค์พื้นต่ำ ซึ่งอยู่ห่างจากแม่น้ำ มิโฮะเพียง 600 เมตร แม้ว่าจะมีการออกคำเตือนน้ำท่วมในแม่น้ำสี่ชั่วโมงก่อนเกิดอุบัติเหตุก็ตาม  ในการตอบสนอง รัฐบาลท้องถิ่นกล่าวว่าคู่มือรับมือเหตุฉุกเฉินไม่ได้กำหนดให้ต้องปิดอุโมงค์ทันทีภายใต้เงื่อนไขดังกล่าว

  “ไม่จำเป็นเสมอไปที่จะต้องบังคับใช้มาตรการจำกัดการเดินทางเข้าในกรณีที่มีการเตือนภัยน้ำท่วม” คัง จอง-กึน เจ้าหน้าที่ประจำจังหวัดกล่าวกับผู้สื่อข่าวเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา “เราตรวจสอบสถานการณ์ถนนโดยรวมและตัดสินใจ

โดยอาศัยการติดตามอย่างใกล้ชิด”    “ดูเหมือนจะไม่มีปัญหาอะไรเป็นพิเศษจนกระทั่งเขื่อนแตก    และเนื่องจากน้ำที่ไหลบ่าเข้ามาอย่างรวดเร็ว เราจึงไม่มีเวลามากพอที่จะหยุดรถไม่ให้เข้ามา”     แต่ จาง ชาน-เกียว  ชาวบ้านกล่าวว่าควรทำมากกว่านี้เพื่อป้องกันไม่ให้แม่น้ำไหลล้นตลิ่ง   

วัดปริมาณน้ำฝนได้มากกว่า 60 ซม. (24 นิ้ว) ในเมือง Gongju และ Cheongyang ของจังหวัดทางใต้ของ Chungcheong ตั้งแต่วันที่ 9 กรกฎาคม ชองจูซึ่งเป็นที่ตั้งของอุโมงค์ได้รับน้ำมากกว่า 54 ซม. (21 นิ้ว) ในช่วงเวลาเดียวกัน   สำนักงานอุตุนิยมวิทยาของเกาหลีกล่าวว่าพื้นที่ตอนกลางและตอนใต้ของประเทศอาจได้รับปริมาณน้ำฝนเพิ่มเติมอีกถึง 30 ซม. (12 นิ้ว) จนถึงวันอังคาร  

 

สนับสนุนโดย      huaydee

การศึกษาพบว่าคนหนุ่มสาวจากครอบครัวที่ยากจนมีเพื่อนน้อยลง

ผลการศึกษาใหม่พบว่าเด็กๆ ที่เติบโตในครอบครัวที่มีรายได้น้อยมีโอกาสได้รู้จักเพื่อนและเข้าสังคมที่โรงเรียนน้อยลง

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยซูริกและมหาวิทยาลัยสตอกโฮล์มตรวจสอบข้อมูลจากชั้นเรียนในโรงเรียนมากกว่า 200 แห่งในสวีเดนและได้ข้อสรุปนี้ การมีเพื่อนที่โรงเรียนเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการพัฒนาของวัยรุ่นและจะช่วยกำหนดทักษะทางสังคมของพวกเขาในภายหลัง

วัยรุ่นที่รู้สึกว่าบูรณาการได้ดีในชั้นเรียนในโรงเรียนจะมีสุขภาพจิตที่ดีขึ้นและมีเกรดสูงกว่า ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่ออาชีพการงานในภายหลัง

การศึกษาที่นำโดยมหาวิทยาลัยซูริกมีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจสอบว่ารายได้ของผู้ปกครองมีอิทธิพลต่อความสัมพันธ์ทางสังคมในห้องเรียนหรือไม่ นักวิจัยได้วิเคราะห์ข้อมูลที่ได้รับจากการสำรวจและฐานข้อมูลการบริหารที่เกี่ยวข้องกับเด็กสวีเดนอายุ 14 และ 15 ปี

จำนวน 4,787 คนในชั้นเรียน 235 ชั้นเรียน พวกเขายังวิเคราะห์เครือข่ายมิตรภาพของคนหนุ่มสาวด้วย

การค้นพบนี้ตีพิมพ์ในวารสาร Social Networks

พวกเขาเปิดเผยว่าวัยรุ่นที่มาจากครอบครัวที่มีรายได้น้อยจะมีการบูรณาการทางสังคมน้อยกว่าวัยรุ่นที่มาจากครอบครัวที่มีรายได้สูง

โดยไม่คำนึงถึงบริบททางเศรษฐกิจและสังคมของโรงเรียน รายได้และสถานะมีอิทธิพลต่อมิตรภาพ อิซาเบล ราเบ ผู้เขียนหลักจากภาควิชาสังคมวิทยา มหาวิทยาลัยซูริก กล่าวว่า “เราพบว่านักเรียนที่มาจากครัวเรือนที่ยากจนมีโอกาสน้อยที่จะถูกเลือกให้เป็นเพื่อน

ดังนั้นจึงมีมิตรภาพน้อยกว่านักเรียนที่มาจากครัวเรือนที่มีรายได้สูง” น่าประหลาดใจที่ยังคงเป็นเช่นนี้ในชั้นเรียนของโรงเรียนที่มีนักเรียนจำนวนมากจากครัวเรือนที่ยากจน ครอบครัวที่อยู่ในกลุ่มรายได้ร้อยละ 20 ล่างสุดของสวีเดนจัดอยู่ในกลุ่มยากจน

“เราประหลาดใจที่แม้แต่ในกลุ่มผู้มีรายได้น้อย รายได้ของผู้ปกครองก็มีความสำคัญ ซึ่งอาจบ่งบอกได้ว่าสถานะทางสังคมที่มีคุณสมบัติสอดคล้องกัน เช่น เสื้อผ้าแฟชั่น หรือการมีส่วนร่วมในกิจกรรมยามว่างยอดนิยม มีความสำคัญในการสร้างมิตรภาพ”

นักสังคมวิทยากล่าว คำอธิบายประการหนึ่งสำหรับ “ช่องว่างมิตรภาพ” อาจเป็นเพราะคนหนุ่มสาวจากครอบครัวที่ยากจนมีเงินสำหรับเล่นกีฬาหรืองานอดิเรกน้อยลง ดังนั้นจึงมีโอกาสน้อยที่จะได้รู้จักเพื่อนนอกโรงเรียน ความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่งก็คือพวกเขากำลังเผชิญกับความเครียดทางจิตสังคมที่เพิ่มมากขึ้น

เนื่องจากความยากจนหรือสถานการณ์ครอบครัวที่ยากลำบาก ซึ่งส่งผลต่อพฤติกรรมของพวกเขา สิ่งนี้อาจทำให้พวกเขามีเสน่ห์น้อยลงในฐานะเพื่อน

เครือข่ายเพื่อน

การศึกษายังได้ตรวจสอบคำถามเชิงสมมุตินี้ด้วย: ช่องว่างมิตรภาพนี้จะลดลงโดยอัตโนมัติหรือไม่หากรายได้ไม่ได้มีบทบาทในการสร้างมิตรภาพที่โรงเรียน อย่างไรก็ตาม ดังที่ Raabe กล่าวว่า “เราสามารถอธิบายช่องว่างระหว่างมิตรภาพได้เพียงประมาณหนึ่งในสามผ่านรายได้ของผู้ปกครองที่แตกต่างกัน”

นักวิจัยเชื่อว่ามีกลไกอื่นๆ ในเครือข่ายโซเชียลที่ทำให้ความแตกต่างในการบูรณาการที่มีอยู่รุนแรงขึ้น เช่น ความนิยม หากคุณมีเพื่อนอยู่แล้ว การหาเพื่อนใหม่ก็เป็นเรื่องง่าย

เพราะผู้คนมักจะสร้างมิตรภาพกับเพื่อนของเพื่อนของพวกเขา เช่น มิตรภาพของแต่ละคนสามารถนำไปสู่เพื่อนได้มากขึ้น แต่หากคนที่ยากจนมีเพื่อนน้อยลงตั้งแต่แรก โอกาสที่พวกเขาจะได้พบเพื่อนใหม่ก็จะลดลง

 

สนับสนุนโดย     เว็บหวยดี